นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ชาเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของโลกและประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่สูงของภาคเหนือ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการผลิตชา โดยพันธุ์ชาที่ปลูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ชาอัสสัม และชาจีน ซึ่งสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาเขียว ชาอู่หลง และชาดำ โดยในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยมีการนำเข้าพันธุ์ชาจากต่างประเทศเพื่อใช้ผลิตชาเขียว แต่พบว่า
บางพันธุ์แม้ให้คุณภาพยอดดี แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านความสม่ำเสมอของผลผลิตและความสามารถในการปรับตัว ดังนั้นศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ สถาบันวิจัยพืชสวนกรมวิชาการเกษตร จึงได้ปรับปรุงพันธุ์ชาจีน สำหรับแปรรูปเป็นชาเขียวที่ให้ผลผลิตสูง และรสชาติดี


ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ได้รวบรวมเมล็ดชาจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 3,500 ต้น นำมาปลูกในพื้นที่ขนาด 37 ไร่ เมื่อต้นชาเจริญเติบโตแล้วจึงดำเนินการคัดเลือกชาจำนวน 50 ต้น โดยพิจารณาจากเกณฑ์การเจริญเติบโตและผลผลิตเป็นหลัก จากนั้นคัดเลือกชาตามแผนการคัดเลือกสายต้น โดยพิจารณาจากผลผลิตและคุณภาพการแปรรูปคัดเลือกไว้ได้ 35 สายพันธุ์ จึงคัดเลือกซ้ำ
จากความสม่ำเสมอของคุณภาพชาในด้านการแปรรูปและด้านประสาทสัมผัส (ชิม) คัดเลือกไว้ 19 สายพันธุ์ นำแต่ละสายพันธุ์ปักชำและปลูกเป็นแถวเพื่อประเมินความสม่ำเสมอลักษณะทางการเกษตรและผลผลิตคัดเลือกเหลือ 5 สายพันธุ์ จากนั้นได้ดำเนินการคัดเลือกซ้ำจากความสม่ำเสมอคุณภาพชาและความสามารถในการขยายพันธุ์ทำให้ได้สายพันธุ์ที่มีคุณภาพโดดเด่น คือ “ชาสายพันธุ์แม่จอนหลวงเบอร์ 3” สำหรับปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์การค้าเพื่อประเมินศักยภาพการให้ผลผลิต คุณภาพผลิตภัณฑ์ชาเขียว พบว่าชาสายพันธุ์แม่จอนหลวงเบอร์ 3 ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดี ชามีกลิ่นหอม และรสชาติกลมกล่อม จึงเสนอคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร พิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำใช้ชื่อพันธุ์ว่า “ชาพันธุ์กวก.เชียงใหม่ 1”




นางสาวศิรากานต์ ขยันการ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ กล่าวว่าชาพันธุ์กวก.เชียงใหม่ 1 มีทรงพุ่มกะทัดรัดแข็งแรง การแตกยอดสม่ำเสมอ เหมาะสมต่อการปลูกเชิงพาณิชย์ ลักษณะเด่น ให้ผลผลิตเฉลี่ย 958.08 กิโลกรัม/ไร่/ปี ใบบางเฉลี่ย 0.11 มิลลิเมตร ส่งผลให้การสกัดสารต่างๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ชาที่มีคุณภาพสูง มีกลิ่นหอม รสชาติดีกลมกล่อม
ไม่ฝาด เหมาะสำหรับการดื่มตลอดวัน จากการประเมินคุณภาพชาเขียวด้วยวิธีทดสอบทางด้านประสาทสัมผัสและการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี พบว่า มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการแปรรูปเป็นชาเขียวดีกว่าพันธุ์การค้า นอกจากนี้ ชาพันธุ์กวก.เชียงใหม่ 1 ยังมีอัตราส่วนน้ำหนักก้านต่อใบเฉลี่ย 4.10 โดยให้สัดส่วนใบที่มากกว่าก้าน จึงมีความเหมาะสมในการผลิตชาคุณภาพสูง เนื่องจากใบเป็นส่วนหลักที่ใช้ในการผลิตชาและมีผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตโดยตรง









Users Today : 919
Views Today : 2594
Who's Online : 4
