นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งขับเคลื่อนการเกษตรเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้น “ไม่เผาพืชทางการเกษตร และไม่รับซื้อหรือไม่นำเข้าสินค้าที่ผ่านการเผา” ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยแนวทางการจัดการเศษพืชที่ยั่งยืน โดยใช้เครื่องจักรกลเกษตรมาทดแทนการเผา ช่วยลดมลพิษ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกร
ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ดร.ภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธานเปิดการสัมมนาเริ่มต้นโครงการฯ ณ ห้องประชุม Venus 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และชุมชนในพื้นที่นำร่องเข้าร่วมกว่า 60 คน
รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการจัดการวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เช่น ฟางข้าวและใบอ้อย ด้วยแนวทางที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษและสอดคล้องกับหลักเกษตรกรรมยั่งยืน โดยกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วย การบรรยายพิเศษ การเสวนา และการนำเสนอแนวทางการดำเนินโครงการ ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในอนาคต
นอกจากนี้ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และแปลงเกษตรกรในอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องของโครงการ เพื่อเรียนรู้การใช้เครื่องจักรกลเกษตรในการจัดการเศษพืชอย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ภัสชญภณ กล่าวตอนท้ายว่า “การดำเนินโครงการนี้ถือเป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับ CSAM และ ESCAP โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรกลเกษตรเป็นทางออกในการลดการเผา เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และสร้างผลตอบแทนที่เป็นธรรมให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญของระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ” โครงการนี้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากเศษวัสดุการเกษตร และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับโลก คาดว่าผลจากการสัมมนาครั้งนี้จะนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศสู่การปฏิบัติ และสามารถขยายผลสู่ระดับภูมิภาคในอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรม





































