กรมวิชาการเกษตรจัดงาน “การประกวดสุดยอดกาแฟไทย ปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” อย่างยิ่งใหญ่ ณ สวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 โดยมีพิธีมอบถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แก่ผู้ชนะการประกวด ซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุดของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยโอกาสนี้ นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าร่วมในพิธีด้วย


นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า การประกวดในปีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า พร้อมทั้งเผยแพร่อัตลักษณ์กาแฟไทย เพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพ ลดปัญหาหมอกควัน PM 2.5 และยกระดับศักยภาพเกษตรกรไทยสู่การผลิตที่มีมาตรฐานสากล ตามแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ–หมุนเวียน–สีเขียว (BCG Economy) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) การประกวด 2 ประเภท 30 รางวัลการประกวดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- การประกวดเมล็ดกาแฟ (Thailand Best Coffee Beans 2025) ครอบคลุม 4 กระบวนการแปรรูป คือ แบบแห้ง (dry/natural), แบบเปียก (wet/wash), แบบกึ่งแห้ง (honey), และโรบัสตาไม่แยกกระบวนการ รวมทั้งสิ้น 16 รางวัล
2. การประกวดสวนกาแฟตามหลักเกษตรเชิงฟื้นฟู (GAP & Regenerative) ทั้งสวนอะราบิกาและโรบัสตา รวม 10 รางวัล รวมทั้งหมด 30 ถ้วยรางวัล โดยรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับถ้วยพระราชทานฯ อันดับ 2–5 ได้รับถ้วยรางวัลจากผู้บริหารระดับสูง อาทิ ประธานองคมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร
ปีนี้มีผู้ส่งเมล็ดกาแฟเข้าประกวด 131 ตัวอย่าง และเกษตรกรเจ้าของสวนกาแฟ 66 สวน จากหลากหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยสวนอะราบิกามาจากภาคเหนือ 27 สวน และสวนโรบัสตาจากภาคใต้และพื้นที่อื่นรวม 39 สวน ไฮไลท์สำคัญของงานคือการจัดประมูลกาแฟที่ได้คะแนนสูงสุด 1–10 ของแต่ละประเภท เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ประกอบการและผู้คั่วกาแฟเข้าร่วมคึกคัก ผลปรากฏว่า กาแฟโรบัสตาได้รับการประมูลสูงสุดถึง 8,200 บาทต่อกิโลกรัมส่วนกาแฟอะราบิกาแบบแปรรูปแห้ง (dry/natural) ได้ราคาสูงสุด 3,500 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกิดมูลค่าการประมูลรวมกว่า 1.44 ล้านบาท สะท้อนศักยภาพของกาแฟไทยที่สามารถแข่งขันและสร้างมูลค่าสูงได้จริง
เมื่อเปรียบเทียบต้นทุน–รายได้ พบว่า กาแฟอะราบิกามีต้นทุนเฉลี่ย 83 บาทต่อกิโลกรัม แต่สามารถขายได้เฉลี่ย 163 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มรายได้กว่า 50% ส่วนกาแฟโรบัสตามีต้นทุน 76 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 188 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มรายได้กว่า 147% ชี้ชัดว่ากาแฟกำลังเป็นพืชเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรไทย
การประกวดปีนี้ยังเน้นการขับเคลื่อนมาตรฐานการผลิต GAP PM 2.5 Free และการปลูกกาแฟตามหลัก เกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ที่ไม่เพียงให้ผลผลิตคุณภาพ แต่ยังช่วยลดปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ฟื้นฟูพื้นที่ป่า และเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยเกษตรกรสามารถนำแนวปฏิบัติไปต่อยอดสู่การสร้างแบรนด์และตลาดพรีเมียมในอนาคตนอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรยังได้จัด Roadshow และกิจกรรมชิมกาแฟ (cupping test) ในหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และกรุงเทพฯ รวมถึงจัดแสดง “Thailand Best Coffee Beans 2025” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคและนักธุรกิจได้รู้จักกาแฟคุณภาพสูงของไทยมากยิ่งขึ้น
อีกก้าวสำคัญคือการพัฒนากาแฟพันธุ์ใหม่ “กวก.เกอิชา” (DOA Geisha) ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านรสชาติและคุณภาพ ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่แล้ว และเตรียมกระจายกล้าพันธุ์ให้เกษตรกรนำไปปลูกในปี 2569 คาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าและขยายโอกาสของอุตสาหกรรมกาแฟไทยในตลาดโลกได้อย่างมาก


“การประกวดสุดยอดกาแฟไทยปีนี้ไม่เพียงสะท้อนคุณภาพและเอกลักษณ์ของกาแฟไทย แต่ยังเป็นการยกระดับทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม ตั้งแต่แปลงปลูก การแปรรูป การประมูล ไปจนถึงการเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ” นายรพีภัทร์ กล่าวการประกวดสุดยอดกาแฟไทยจึงไม่ใช่แค่การค้นหากาแฟที่ดีที่สุด แต่ยังเป็นเวทีสร้างแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ๆ ให้เกษตรกรไทย ก้าวสู่ความยั่งยืน พร้อมแข่งขันในเวทีสากลได้อย่างภาคภูมิ