เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดงาน “ฉก. พญานาคราช ปรับเกมส์รุก ปราบสินค้าเกษตรเถื่อน” โดยมี นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พันเอก รวิรักษ์ สัตตบุศย์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช (ฉก.พญานาคราช) นายกฤษ อุตตมะเวทิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองผู้บังคับหน่วย ฉก.พญานาคราช นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นางสาวปรียานุช ทิพยะวัฒน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร คณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม ณ ศูนย์ราชการกรมปศุสัตว์ปทุมธานี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี
หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช หรือ ฉก.พญานาคราช ก่อตั้งเมื่อปี 2566 โดย ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงผลงานการปราบปรามให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งการปราบปรามหมูเถื่อน สินค้าประมง และสินค้าพืชผิดกฎหมาย บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กรมศุลกากร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น ประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายทางตรงไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงมูลค่าทางอ้อมซึ่งสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างอีกนับไม่ถ้วน
การขับเคลื่อนนโยบายด้านการเกษตร สานต่อการทำสงครามสินค้าเกษตรเถื่อนจะมีความเข้มข้นมากขึ้น ทั้งการตรวจสอบสต็อกสินค้าเกษตรภายในประเทศและควบคุมการนำเข้า ป้องกันการกักตุนและเก็งกำไร เพื่อสร้างกลไกราคาสินค้าเกษตรอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังมีมาตรการระยะสั้นที่จะเห็นเป็นรูปธรรมดังนี้
1) การปรับปรุงและยกระดับกฎหมาย ประกาศ ระเบียบต่าง ๆ ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับนโยบายการปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย เพื่อให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพิ่มบทลงโทษที่หนักขึ้น อาทิ
กรมวิชาการเกษตร ปรับปรุงกฎหมายในความรับผิดชอบ 6 ฉบับ ได้แก่ (1) พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 (2) พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 (3) พระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 (4) พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 (5) พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และ (6) พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 รวมทั้งระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลลัพธ์จากการดำเนินงาน มาตรการปราบปรามอย่างเข้มงวดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ส่งผลให้การลักลอบนำเข้าและการผลิตสินค้าผิดกฎหมายลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของศัตรูพืช และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคและเกษตรกรไทย
กรมประมง ปรับปรุงกฎหมาย 3 ฉบับ ให้ทันสมัยสอดคล้องกับบริบททางการค้า และเพิ่มบทลงโทษให้มีความรุนแรงขึ้น ได้แก่ (1) พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการทำการประมงผิดกฎหมาย ควบคุมการนำเข้า ส่งออก นำผ่านสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่นำเข้า ส่งออก หรือนำผ่าน ปรับปรุงจากพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ซึ่งควบคุมเฉพาะการนำเข้าสัตว์น้ำ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ (2) พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคระบาด ควบคุมการนำเข้า ส่งออก นำผ่านสัตว์หรือซากสัตว์ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ปรับปรุงจากพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (3) พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสัตว์ป่า ควบคุมการนำเข้า ส่งออก นำผ่าน สัตว์ป่า ซากสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ปรับปรุงจากพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรมปศุสัตว์ ปรับปรุง พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 เพิ่มบทลงโทษของผู้กระทำความผิดในการลักลอบนำเข้า-ส่งออก นำผ่านสินค้าปศุสัตว์ผิดกฎหมายให้โทษมีความรุนแรงขึ้นผู้กระทำความผิดรวมถึงผู้เกี่ยวข้องต้องได้รับโทษทั้งหมด เป็นต้น
นอกจากนี้ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนภารกิจ ฉก.พญานาคราช ด้านการควบคุมการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และส่งเสริมสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดแก่ประชาชน กิจการค้า สินค้าเกษตร และเศรษฐกิจของประเทศ
อีกทั้ง การยางแห่งประเทศไทย ในฐานะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามเป็นพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ได้ดำเนินการจัดทำข้อมูลจำนวนเกษตรกร/พื้นที่ผลิต/ปริมาณผลผลิตยางพาราสำหรับทวนสอบปริมาณผลผลิตยางพารา จัดทำแผนที่พิกัดจุดสถานที่รวบรวม/รับซื้อยางพารา และแผนที่พิกัดเส้นทางนําเข้าสินค้าเกษตร พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง/ผู้ประกอบการในพื้นที่ และลงพื้นที่เพื่อติดตามและตรวจสอบการลักลอบนำเข้ายางพาราผิดกฎหมาย/ตรวจสอบชนิด/ปริมาณยางพารา ณ ด่านชายแดน ได้แก่ ด่านศุลกากรเชียงแสน ด่านศุลกากรเชียง ด่านศุลกากรแม่สอด ด่านศุลกากรสังขละบุรี และด่านศุลกากรระนอง
จากการตรวจสอบ ป้องกันและปราบปรามการลักลอบการนำเข้ายางพาราผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน โดยเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะสามารถบริหารจัดการยางภายในประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้น
2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดอบรมเสริมความรู้ ทั้งภาคทฤษฎีเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และภาคปฏิบัติ เช่น การอบรมการใช้อาวุธ และยุทธวิธีต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย อาทิ โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช” อบรมให้ความรู้การบังคับใช้กฎหมายและการฝึกปฏิบัติที่เข้มข้น แก่เจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตร สารวัตรประมง และสารวัตรปศุสัตว์ที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำด่านตรวจสินค้าเกษตร จำนวน 45 นาย ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 8 วัน ระหว่างวันที่ 15-22 สิงหาคม 2567 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จังหวัดนครปฐม เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับจากการเข้าอบรมไปปรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ประจำด่านตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการอบรมเชิงปฏิบัติการที่จัดโดยหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายโดยตรงและหน่วยงานความมั่นคง ทั้งส่วนกลางและระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
3) การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเสริมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ
กรมวิชาการเกษตร นำระบบบริการออนไลน์ NSW (NEW DOA-NSW) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางที่เชื่อมโยงข้อมูลและเอกสารทางการนำเข้า-ส่งออกสินค้าทางการเกษตรระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาใช้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการสามารถดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ได้ครบวงจร ตั้งแต่การยื่น ขออนุญาต การตรวจสอบเอกสาร การอนุมัติ ไปจนถึงการรายงานผลการตรวจสอบสินค้า
กรมประมง พัฒนาระบบ Fisheries Single Window (FSW) ตั้งแต่ปี 2555 เพื่อเป็นช่องทางในการดำเนินกระบวนการต่าง ๆ อย่างครบวงจร ทั้งการยื่นคำขออนุญาต การตรวจสอบ การอนุญาต การประเมินความเสี่ยง ในการเปิดตรวจ การตรวจปล่อย การเก็บข้อมูลสถิติ และการเชื่อมโยงข้อมูลการอนุญาตผ่านระบบ National Single Window ไปยังกรมศุลกากร ซึ่งจะช่วยให้การปฏิบัติงานมีความถูกต้อง ความรวดเร็ว โปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระหว่างหน่วยงาน ต่อมากรมประมงได้พัฒนาระบบเพิ่มเติมในส่วนของการตรวจสอบ ตามมาตรการรัฐเจ้าของท่า ระบบ Port State Measure (PSM) เพื่อตรวจสอบการทำการประมงตั้งแต่เรือจับ เรือขนถ่าย และระบบ Processing Statement Endorsement (PSE) เพื่อควบคุมการผลิตและการออกหนังสือ รับรองเพื่อการส่งออก ปัจจุบันกรมประมงได้ทำการเชื่อมโยงทั้งสามระบบรวมเป็นระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าสัตว์น้ำนำเข้าของกรมประมง (Processing Statement and PSM Link System : PPS) ทำให้กรมประมง สามารถตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ำนำเข้า ตั้งแต่การจับ การขนถ่าย การนำเข้า การผลิตไปจนถึงการส่งออก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของประเทศไทยมิได้มาจากการทำการประมงผิดกฎหมาย
กรมปศุสัตว์ ปรับปรุงระบบการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-movement) ยกระดับการให้บริการ ภาครัฐดิจิทัลเต็มรูปแบบ e-Service e-Payment e-Signature ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มา ของสัตว์และซากสัตว์ รวมถึงการออกใบอนุญาตที่ถูกต้องแม่นยำขึ้น อีกทั้ง กรมปศุสัตว์กำลังดำเนินโครงการพัฒนาระบบตรวจติดตามยานพาหนะรถบรรทุกสัตว์ และซากสัตว์ผ่านระบบ GPS tracking (DLD e-Tracking) สามารถตรวจติดตามยานพาหนะที่มีการขอใบอนุญาต เคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ ได้ตลอดเส้นทางแบบ Real-time ถ่ายภาพหลักฐานการผ่านด่านกักกันสัตว์ การเดินทางขนย้ายเมื่อถึงปลายทาง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถกำกับ ตรวจสอบการเคลื่อนย้ายหากตรวจพบการกระทำความผิดตามกฎหมาย โรคระบาดสัตว์ เจ้าหน้าที่สามารถเข้าบังคับใช้ กฎหมายได้ทันท่วงทีลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคระบาดสัตว์ไม่ให้กระทบต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจปศุสัตว์ในวงกว้างได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราชพร้อมเดินหน้าเต็มกำลัง เพื่อการป้องกันและปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมายทุกประเภท โดยปรับโครงสร้างหน่วยให้เหมาะสมกับภารกิจและสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ มุ่งหวังให้สินค้าเกษตรผิดกฎหมายหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย อันเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรไทย ภายใต้หลักปฏิบัติที่ว่า “ปรับเกมส์รุก ปราบสินค้าเกษตรเถื่อน”















