วันที่ 18 ตุลาคม 2568 — นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร ณ “ไร่ภูกลองฮิลล์” ตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรต้นแบบที่เกิดจากแนวคิดการพัฒนาพื้นที่สวนยางพาราให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่บางส่วนเป็นแปลงปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น องุ่น พืชผักที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP สวนไม้ดอก และจุดเรียนรู้ธรรมชาติ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงเกษตรสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และนายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ยังได้ติดตามความก้าวหน้าของ “โครงการส่งเสริมการปลูกกาแฟเพื่อทดแทนการนำเข้าและแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ” (จังหวัดพะเยา) ซึ่งดำเนินการร่วมกับวิสาหกิจชุมชนกาแฟโรบัสตาพะเยา ณ “June Market” ศูนย์รวมธุรกิจเบเกอรี่และกาแฟครบวงจร อำเภอเมืองพะเยา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกจากพืชเชิงเดี่ยวไปสู่การปลูกกาแฟที่มีมูลค่าสูง สามารถลดการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศ เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน และเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่ภาคเหนืออย่างยั่งยืน
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรมีศูนย์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตรที่ได้รับการคัดเลือกแล้วจำนวน 23 ศูนย์ (24 แห่ง) ใน 19 จังหวัดทั่วประเทศ กระจายอยู่ในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตชุมชน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ภาคเหนือ ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย (วาวี), ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง), ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (แม่จอนหลวง), ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุโขทัย, ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย, ศูนย์วิจัยเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ และสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 (สถานีทดลองพืชสวนร่มเกล้า)
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ, ศูนย์วิจัยพืชสวนเลย และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย
- ภาคตะวันออก ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจันทบุรี
- ภาคตะวันตก ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี
- ภาคใต้ ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร, ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง, ศูนย์วิจัยพืชสวนยะลา, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรภูเก็ต, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ และศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี
ทั้งนี้ ศูนย์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตรยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยมีการจำหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพดีในราคาพิเศษ อาทิ
- ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย จำหน่ายพันธุ์พืชคุณภาพ เช่น โกโก้ ลำไย และถั่วลันเตา
- ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย (วาวี) จำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น กาแฟอาราบิกาคั่วเม็ด กาแฟอาราบิกาคั่วบด มะคาเดเมียอบเกลือ ชาจีน และน้ำผลไม้จาโบติกาบา พร้อมจัด “ตลาดนัดชุมชน” กระจายสินค้าของเกษตรกร เช่น ผลิตภัณฑ์ชนเผ่า เสื้อผ้า กระเป๋า และผลผลิตทางการเกษตร
- ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) จัดตลาดนัดชุมชนจำหน่ายสินค้าสด เช่น ถั่วหวาน บร็อกโคลี และคะน้ายอด
- ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี จำหน่ายต้นพันธุ์มังคุดคุณภาพดีในราคาย่อมเยา
อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิชาการเกษตร จะนำแนวทางจากพื้นที่ต้นแบบไปใช้ในการพัฒนา “ศูนย์การเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงเกษตร” ให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวที่ให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศในระยะยาว
พร้อมกันนี้ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรยังได้ เชิญชวนพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงเกษตรในฤดูกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งแต่ละศูนย์ฯ จะมีผลผลิตสดใหม่ กิจกรรมเรียนรู้ และตลาดสินค้าทางการเกษตรให้เลือกชมและเลือกซื้อโดยตรงจากเกษตรกร ถือเป็นโอกาสดีในการท่องเที่ยว พักผ่อน และเรียนรู้วิถีเกษตรของไทยไปพร้อมกัน ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมวิชาการเกษตร หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรใกล้บ้าน หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://www.doa.go.th/agrotour/




















